สถานการณ์ เรื่องเลขยกกำลัง
4 ก.ย. ครูแรม ครูประจำชั้นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่2 มีความคิดที่อยากให้นักเรียนรู้จักการประหยัดอดออมเงิน เพื่อที่จะนำเงินนั้นซื้อหนังสือคณิตศาสตร์ไปบริจาคให้โรงเรียนที่ขาดแคลนหนังสือเรียนวิชาคณิตศาสตร์ ที่มีราคาเล่มละ 86 บาท ซึ่งในห้องเรียนมีนักรียนทั้งหมด 35 คน ครูแรมจึงให้นักเรียนแต่ละคนนำเงินมาฝากเป็นเวลา 7 วัน
-วันแรก ครูแรมให้นำเงินมาออม 8 บาท
-วันที่สอง ให้ออมเงินเป็นสองเท่าของวันแรก
-วันที่สาม ให้ออมเงินเป็นสองเท่าของวันที่สอง
-วันที่สี่ ให้ออมเงินเป็นสองเท่าของวันที่สาม
-วันที่ห้า ให้ออมเงินเป็นสองเท่าของวันที่สี่
-วันที่หก ให้ออมเงินเป็นสองเท่าของวันที่ห้า
-วันที่เจ็ด ให้ออมเงินเป็นสองเท่าของวันที่หก
เ มื่อครบทั้ง 7 วัน ครูแรมจึงให้นักเรียนรวมเงินของแต่ละคนที่ได้จากการออมและนำเงินของแต่ละคนมารวมกันให้ครบทั้ง 35 คน
อยากทราบว่า นักเรียนหนึ่งคนเก็บเงินในระยะเวลา 7 วัน ได้เงินเท่าไรและเงินรวมของนักเรียน 35 คน สามารถซื้อหนังสือคณิตศาสตร์ได้กี่เล่ม
1.วิเคราะห์หาวิธีการคำนวณเงินของนักเรียน 1 คน ที่ได้จากการออมทั้ง 7วัน ว่าเป็นเงินเท่าใด พร้อมแสดงวิธีการคำนวณอย่างละเอียด
2.ในระยะเวลา7 วัน เงินรวมของนักเรียน 1 คน สามารถซื้อหนังสือคณิตศาสตร์ได้กี่เล่ม และเงินรวมของนักเรียนทั้งหมด 35 คน จะสามารถซื้อหนังสือคณิตศาสตร์ได้กี่เล่ม
ธนาคารความรู้ การคูณเลขยกกำลัง
4 ก.ย.เลขยกกำลัง
คือ การคูณตัวเลขนั้นๆตามจำนวนของเลขชี้กำลัง ซึ่งตัวเลขนั้นๆจะคูณตัวของมันเองและเมื่อแทน a เป็นจำนวนใด ๆ และแทน n เป็นจำนวนเต็มบวก โดยที่มี a เป็นฐานหรือตัวเลข และ n เป็นเลขชี้กำลัง(an) จะได้ว่า a คูณกัน n ตัว (axaxaxaxax…xa)
ตัวอย่าง
25 เป็นเลขยกกำลัง ที่มี 2 เป็นฐานหรือตัวเลข และมี 5 เป็นเลขชี้กำลัง
และ 25 = 2x2x2x2x2 = 32
สมบัติของเลขยกกำลัง
1. สมบัติการคูณเลขยกกำลังที่มีเลขชี้กำลังเป็นจำนวนเต็มบวก เมื่อ a เป็นจำนวนใด ๆ และ m, n เป็นจำนวนเต็มบวก
เช่น 23x 27x 29 = 2 (3 + 7 + 9) = 219
2. สมบัติการหารเลขยกกำลังที่มีเลขชี้กำลังเป็นจำนวนเต็มบวก
กรณีที่ 1 เมื่อ a เป็นจำนวนจริงใดๆที่ไม่ใช่ศูนย์ และ m, n เป็นจำนวนเต็มบวกที่ m > n
เช่น 412÷ 43=412-3 = 49
กรณีที่ 2 เมื่อ a เป็นจำนวนจริงใดๆที่ไม่ใช่ศูนย์ และ m, nเป็นจำนวนเต็มบวกที่ m = n
นิยาม ถ้า a เป็นจำนวนจริงใดๆ ที่ไม่ใช่ศูนย์ a0 = 1
เช่น 67÷ 67 = 67-7 = 60 = 1 หรือถ้า (-7)o = 1
กรณีที่ 3เมื่อ a เป็นจำนวนจริงใดๆที่ไม่ใช่ศูนย์ และ m, n เป็นจำนวนเต็มบวกที่ m < n
นิยาม ถ้า a เป็นจำนวนจริงใดๆ ที่ไม่ใช่ศูนย์ และ n เป็นจำนวนเต็มบวก แล้ว
3.สมบัติอื่นๆของเลขยกกำลัง
1. เลขยกกำลังที่มีฐานเป็นเลขยกกำลัง
เมื่อ a ≥0 และ m, n เป็นจำนวนเต็ม
2. เลขยกกำลังที่มีฐานอยู่ในรูปการคูณ หรือการหารของจำนวนหลาย ๆจำนวน
และ เมื่อ a ≠ 0 , b ≠ 0 และ n เป็นจำนวนเต็ม
3. เลขยกกำลังที่มีเลขชี้กำลังเป็นเศษส่วน
เมื่อ a > 0 และ n เป็นจำนวนเต็มบวกที่มากกว่า 1
เมื่อ a ≠ 0 และ m เป็นจำนวนเต็มบวก ; n ≥ 2
การใช้เลขยกกำลังแทนจำนวน
การเขียนจำนวนที่มีค่ามากๆนิยมเขียนแทนได้ด้วยรูป Ax10nเมื่อ 1≤A<10 และ n เป็นจำนวนเต็มบวก เช่น 16,000,000 = 1.6×107 และทำนองเดียวกันการเขียนจำนวนเต็มที่มีค่าน้อยๆก็สามารถเขียนในรูป Ax10n ได้เช่นเดียวกัน แต่ n จะเป็นจำนวนเต็มลบ เช่น 0.000016 = 1.6×10-5
หลักการเปลี่ยนจำนวนให้อยู่ในรูป Ax10n เมื่อ 1≤A<10 และ n เป็นจำนวนเต็มอย่างง่ายๆ คือให้พิจารณาว่าจุดทศนิยมมีการเลื่อนตำแหน่งไปทางซ้ายหรือขวากี่ตำแหน่ง ถ้าเลื่อนไปทางซ้ายเลขชี้กำลังจะเป็นบวก และถ้าเลื่อนไปทางขวาเลขชี้กำลังก็จะเป็นลบ
เช่น 75000.0=7.5×104
0.000075 = 7.5×10-5
หรือกล่าวได้ว่า ถ้าจุดทศนิยมเลื่อนไปทางขวา n ตำแหน่ง เลขชี้กำลังของ 10 จะลดลง n ถ้าจุดทศนิยมเลื่อนไปทางซ้าย n ตำแหน่ง เลขชี้กำลังของ10 จะเพิ่มขึ้น n
สรุป
เลขยกกำลังเป็นการคูณตัวเลขนั้นๆตามจำนวนของเลขชี้กำลัง ซึ่งตัวเลขนั้นๆจะคูณตัวของมันเองและเมื่อแทน a เป็นจำนวนใด ๆ และแทน n เป็นจำนวนเต็มบวก โดยที่มี a เป็นฐานหรือตัวเลข และ n เป็นเลขชี้กำลัง(an) หรือจะได้ว่า a คูณกัน n ตัว (axaxaxaxax…xa) อีกทั้งวิธีการคำนวณหาค่าเลขยกกำลังจะขึ้นอยู่กับสมบัติของเลขยกกำลังในแต่ละประเภทด้วย
การบวกเลขยกกำลัง
1.การบวกลบเลขยกกำลังที่มีฐานเหมือนกันและเลขยกกำลังเท่ากัน ให้นำสัมประสิทธิ์ของเลขยกกำลังมาบวกลบกัน
2.การบวกลบเลขยกกำลังที่มีฐานเท่ากัน แต่เลขยกกำลังไม่เท่ากันจะนำสัมประสิทธิ์มาบวกลบกันไม่ได้ ต้องทำในรูปของการแยกตัวประกอบ และดึงตัวประกอบร่วมออก
ตัวอย่าง
หมายเหตุ
(-2)4 และ -24 มีค่าไม่เท่ากันเพราะ (-2)4 ฐานคือ (-2)
เลขชี้กำลังคือ 4 อ่านว่าลบสองทั้งหมดยกกำลังสี่มีค่าเท่ากับ 16
-24 ฐานคือ 2 เลขชี้กำลังคือ 4 อ่านว่าลบของสองกำลังสี่มีค่าเท่ากับ -16
ธนาคารความรู้ เรื่อง การหารร่วมมาก
2 ก.ย.
ตัวเลขจำนวนเต็มใด ๆ ก็ตามที่มีค่ามากกว่า 1 สามารถเขียนในรูปของตัวประกอบที่เป็นจำนวนเฉพาะได้
ถ้าให้ n เป็นเลขจำนวนเต็มที่มีค่ามากกว่า 1
n = p1n1 p2n2…pknk
เมื่อ p คือเลขจำนวนเฉพาะ
p1 < p2 < … < pk
n1, n2, n3, …nk เป็นเลขจำนวนเต็ม > 0
k >= 1
ตัวอย่างเช่น
28 = 22 x 50 x 71
200 = 23 x 52 x 70
ห.ร.ม. คืออะไร |
“สมมุติเลิศชายมีกระดาษแผ่นหนึ่ง มีลักษณะเป็นรูปสี่เหลี่ยมพื้นผ้า กว้าง 8 นิ้ว ยาว 12 นิ้ว เลิศชายต้องการตัดกระดาษนี้ให้เป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสรูปเล็ก ๆ หลายรูป และให้ได้ขนาดรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสขนาดใหญ่ที่สุด โดยไม่มีกระดาษเหลือเศษ” |
ลองดูจากตัวอย่างง่าย ๆ ตัวอย่างหนึ่ง
จากตัวเลข 8 = 23 x 30 | |
จากตัวเลข 12 = 22 x 30 |
เห็นได้ชัดว่า ตัวเลขทั้งสองตัวเขียนอยู่ในรูปจำนวนเฉพาะได้
ตัวเลขจำนวนเฉพาะที่ตรงกัน และพิจารณาส่วนของตัวที่ซ้ำกันน้อยที่
เช่น มี 2 ซ้ำกันน้อยที่สุด 2 ตัว (22)
มี 3 ซ้ำกันน้อยที่สุด 0 ตัว (30)
ตัวหารร่วมที่หารเลข 8 และ 12 ลงตัวที่มากที่สุดคือ 22 x 30 = 4
4 จึงเป็นตัวหารร่วมของด้านทั้งสอง
นั่นคือหากตัดแบ่งเป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสให้ด้านละ 4 จะได้สี่เหลี่ยมจัตุรัสใหญ่สุด
แบ่งได้ 6 รูป
หลักการ ห.ร.ม. |
สมมุติว่าเรามีตัวเลขจำนวนเต็มบวกสองตัว a และ b เราจะหาตัวหารร่วมได้อย่างไร
ถ้าสมมุติให้ d เป็นตัวหารร่วม
d หาร a ได้ลงตัว
d หาร b ได้ลงตัว
ถ้าเขียนจำนวน a และ b ในรูปแบบเลขจำนวนเฉพาะ
a = p1a1 p2a2 … pkak
b = p1b1 p2b2 … pkbk
โดยที่ ai, bi >= 0
เมื่อ d หาร a และ b ลงตัว เขียน d ในรูปแบบจำนวนเฉพาะ
d = p1d1 p2d2 … pkdk
เมื่อ di <= ai
di <= bi
di <= min(ai, bi)
หรืออาจกล่าวได้ว่า di น้อยกว่าค่าน้อยสุดระหว่าง ai, bi
แต่ถ้าจะให้เป็นตัวหารร่วมที่มากที่สุด (ห.ร.ม.) ค่า di จะต้องเท่ากับค่าน้อยที่สุดระหว่าง ai, bi
di = min(ai, bi)
วิธีการหา ห.ร.ม.
1. โดยการแยกตัวประกอบ มีิวิธีการดังนี้
(1) แยกตัวประกอบของจำนวนทุกจำนวนที่ต้องการหาร ห.ร.ม.
(2) เลือกตัวประกอบที่ซ้ำกันของทุกจำนวนมาคูณกัน
(3) ห.ร.ม. คือ ผลคูณที่ได้
ตัวอย่าง จงหา ห.ร.ม. ของ 56 84 และ 140
วิธีทำ 56 =
84 =
140 =
เลือกตัวที่ซ้ำกัน ที่อยู่ทั้ง 56 84และ 140 ตัวทีซ้ำกันเอามาซ้ำละ 1 ตัว
คือ มีเลข 2 เลข 2 และ เลข 7
ดังนั้น ห.ร.ม. =
คุณสมบัติ
ตัวหารร่วมของ a และ b จะเป็นตัวหารของ gcd (a, b)gcd (a, b) เมื่อ a และ b ไม่เป็นศูนย์พร้อมกัน จะเป็นจำนวนเต็มบวก d ที่น้อยที่สุดที่สามารถเขียนในรูป d = a·p + b·q เมื่อ p และ q เป็นจำนวนเต็ม จำนวน p และ q สามารถคำนวณได้จากอัลกอริทึมของยุคลิดเพิ่มเติมถ้า a หาร b·c ลงตัว และ gcd (a, b) = d แล้ว a/d หาร c ลงตัวถ้า m เป็นจำนวนเต็มใดๆแล้ว gcd (m·a, m·b) = m·gcd (a, b) และ gcd (a + m·b, b) = gcd (a, b) ถ้า m เป็นตัวหารร่วมของ a และ b แล้ว gcd (a/m, b/m) = gcd (a, b) /m
ห.ร.ม.เป็นฟังก์ชันการคูณ กล่าวคือ ถ้า a1 และ a2 เป็นจำนวนเฉพาะสัมพัทธ์แล้ว gcd (a1·a2, b) = gcd (a1, b) ·gcd (a2, b)
ห.ร.ม.ของจำนวนสามจำนวน หาได้จาก gcd (a, b, c) = gcd (gcd (a, b) , c) = gcd (a, gcd (b, c)) นั่นคือ ห.ร.ม.มีสมบัติการเปลี่ยนหมู่
gcd (a, b) นั้นมีความเกี่ยวข้องกับตัวคูณร่วมน้อย lcm (a, b) : จะได้ว่า
gcd (a, b) ·lcm (a, b) = a·b.
สูตรนี้มักถูกใช้เพื่อคำนวณค่าคูณร่วมน้อย โดยเริ่มด้วยการหา ห.ร.ม. โดยใช้อัลกอริทึมของยุคลิด จากนั้นหารผลคูณของตัวเลขทั้งสองด้วย ห.ร.ม. คุณสมบัติการกระจายด้านล่างนี้เป็นจริง:
gcd (a, lcm (b, c)) = lcm (gcd (a, b) , gcd (a, c))
lcm (a, gcd (b, c)) = gcd (lcm (a, b) , lcm (a, c)).
การนิยามให้ gcd (0, 0) = 0 และ lcm (0, 0) = 0 นั้นมีประโยชน์เนื่องจากจะทำให้เซตของจำนวนธรรมชาติเป็นแลตทิซแบบกระจายที่บริบูรณ์ โดยที่ ห.ร.ม. เป็นการดำเนินการ meet และ ค.ร.น. เป็นการดำเนินการ join การขยายนิยามนี้สอดคล้องกับนัยทั่วไปของนิยามสำหรับริงสลับที่ด้านล่าง
ในระบบพิกัดคาร์ทีเซียน gcd (a, b) สามารถตีความว่าเป็นจำนวนของจุดที่มีพิกัดเป็นจำนวนเต็มบนเส้นตรงที่เชื่อมจุด (0, 0) และจุด (a, b) โดยที่ไม่นับจุด (0, 0)
ตัวอย่าง จงหา ห.ร.ม. ของ 56 84 และ 140
วิธีทำ 2) 56 84 140
2) 28 42 70
7) 14 21 35
2 3 5
ห.ร.ม. คือ 2 x 2 x 7 = 28
ประโยชน์ของ ห.ร.ม.
1. ใช้ทอนเศษส่วนใ้ห้เป็นเศษส่วนอย่างต่ำ
2. ใช้คำนวณการแบ่งสิ่งของที่มีจำนวนไม่เท่ากันออกเป็นส่วนๆ ที่เท่าักันโดยไม่ปะปนกันและให้เป็นจำนวนที่มากที่สุด